ประวัติศาสตร์อิสลามเล่มที่1 ทั้งหมดมี3เล่ม

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
คำนำ
การศึกษาประวัติศาสตร์ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับมนุษยชาติ เพราะการ
ศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้มนุษย์ได้รู้ถึงอดีตซึ่งเป็นที่มาของปัจจุบันและทำให้มนุษย์พอที่จะ
เห็นอนาคตของตนได้บ้างทั้งนี้ เนื่องจากมนุษย์ก็คือมนุษย์ไม่ว่าในยุดใด ธรรมชาติของมนุษย์
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งที่มนุษย์ทำไว้ในอดีตได้แสดงผลให้เห็นเช่นใดในปัจจุบัน สิ่งที่มนุษย์
ได้ทำไว้ในปัจจุบันก็จะแสดงผลเช่นเดียวกันนั้นในอนาคด คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์จึงได้
เปรียบคนที่ไม่มีความรู้ในด้านนี้
อิสลามเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่มนุษยชาติผ่าน
บรรดานบีต่าง ๆ นับตั้งแต่มีมนุษย์คนแรกบนโลก นั่นคืออาดัม การประทานอิสลามดำเนิน
ต่อเนื่องกันมาทุกยุดทุกสมัยผ่านหมู่ชนต่างๆ เป็นจำนวนมากมาย จนในที่สุดก็มาเสร็จสิ้น
สมบูรณ์ในรูปของคัมภีร์กุรอานในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัดเมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว
ในคาบสมุทรอาระเบีย ดังนั้น การศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามจึงถือเป็นการศึกษา
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติโดยแท้จริง
ถึงแม้อิสลามจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัดก็ตาม แต่ประชาชาติ
มุสลิมหลังสมัยของท่านก็มีบทบาทสำคัญต่อกระแสประวัติศาสตร์โลกต่อมาเป็นเวลาอีก
ยาวนาน ซึ่งเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงอิทธิพลของอิสลามที่มีต่อโลก
ด้วยเหตุนี้ ใครที่ต้องการจะศึกษาอิสลามเป็นการเฉพาะก็จำเป็นจะต้องศึกษา
ประวัติตาสตร์อิสล่ามด้วยโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของท่านนปีมุฮัมมัด ทั้งนี้ เนื่องจากคัมภีรี
กุรอานที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาเพื่อเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นได้ถูก
ประทานมายังท่านตลอดระยะเวลา 23 ปีแห่งการเป็นรอชูลุลลอฮฺ (ตาสนทูตของพระเจ้)
22 : ประวัติศาสตร์อิสลาม

และท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับเอกสิทธิ์ในการอธิบายและแสดงดำสอนออกมาให้เห็นเป็น
การปฏิบัติ จากแหล่งที่มาทั้งสองนี้เองคือรากฐานคำสอนของอิสถามที่มุสลิมทั่วโลกยึดถือ
เป็นแนวทางเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แม้อิสลามจะเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมอาหรับในยุคมืดให้กลายมาเป็นผู้สร้าง
อารยธรรมขึ้นบนโลกแต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของอารยธรรม
อิสลามมิได้เป็นที่รับรู้หรือมีการสอนในสถาบันการศึกษาทั่วไป โดยเฉพาะในสถาบันอุดมศึกษา
ประกอบกับการไม่มีหนังสือหรือตำราภาษาไทยที่คนไทยทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่าง
เพียงพอ จึงทำให้คนทั่วไปหรือแม้แต่มุสลิมเองไม่รู้จักอิสลามซึ่งเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรม
งคนมุสลิม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้เลือกเอาหนังสือเรื่อง History of Islam ซึ่งเ
อักบัร ชาห์ นะญีบอะบาดี (Akbar Shah Najeebabadi) มาแปลเพื่อเป็นแหล่งข้อมูล
สำหรับคนทั่วไปได้ศึกษาคันคว้าและทำความเข้าใจ
ผมแปลหนังสือเล่มนี้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ในการรับใช้หนทางแห่งอิสลามตามความรู้
ความสามารถ ตลอดจนสุขภาพและเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ผม แต่ในฐานะของความ
เป็นมนุษย์ที่ย่อมมีข้อบกพร่องและผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้น หากผลงานชิ้นนี้
มีความผิดพลาดใด ๆ ผมขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺและยินดีรับฟังคำวิจารณ์หรือดำชี้แนะที่
สร้างสรรค์เพื่อการแก้ไขและปรับปรุงต่อไป
หากจะพูดไปแล้ว ผลงานชิ้นนี้และชิ้นอื่น ๆ ที่ผมได้ทำมาถือเป็นผลพวงจากมรดก
การศึกษาซึ่งเป็นมรดกชิ้นเดียวจริง ๆ ที่พ่อได้ให้ผมตั้งแต่เด็กด้วยการตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่
ทำข้อสอบให้ผมฝึกทำเพื่อสามารถสอบเข้าโรงเรียนดีๆ ได้ ประกอบกับการซึมซับรับเอา
ความมีน้ำอดน้ำทนของแม่ที่มีใจมุ่งมั่นต้องการจะเห็นอนาคตที่ดีของลูก ผลพวงมรดกการ
ศึกษาที่พอแม่ทิ้งไว้ให้ผมจึงได้ตกถึงคนอื่นๆ ด้วย
"โอ้อัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก หากหนังสือเล่มนี้มีคุณงามความดีใด ๆ
ที่จะทำให้พระองค์ทรงตอบรับคำวิงวอนของข้าพระองค์แล้ว ขอพระองค์ได้ทรงโปรดอภัยโทษ
แก่ข้าพระองค์และบิดามารดาของข้าพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงโปรดประทานความ
เมตตาแก่ท่านทั้งสอง ดุจดังที่ท่านทั้งสองเลี้ยงดูข้าพระองค์เมื่อครั้งเยาว์วัยด้วยเทอญ- อามีน"
บรรจง บินกาซัน
มิถุนายน พ.ศ.2551
The History of Islam : 23

คำนำของผู้เขียน
ไม่มีพะเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ
ถ้าเราหันกลับไปมองประวัติศาสตร์โลก เราก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนโดยปราศจาก
ข้อสงสัยว่าในทุกประเทศของโลกและในทุกยุดสมัย บรรดานบี ผู้ปฏิรูป ผู้นำทางและผู้ก่อ
ตั้งตาสนทั้งหลายนั้นมีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว และบุคคลเหล่านี้ล้วนพยายามที่จะ
ทำให้ผู้คนของท่านเชื่อมั่นในการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้างแต่เพียงผู้เดียว ถึงแม้อาดัม,
นูฮ (โนอาห์), อิบรอฮีม (อับราฮัม), มูซา (โมเสส) และมุฮัมมัดจะมีชีวิตอยู่ห่างกันนับเป็น
พันๆ ปี แต่นบีเหล่านี้ก็มีคำสอนเรื่องพระเจ้าองค์เดียวเหมือนกัน
กฤษณะ, รามจันทรา, โคตมะพุทธะและดุรุนานักอยู่ในอินเดีย กออิกบาดและโซโร-
แอสเตอร์อยู่ในอิหร่าน เหลาจี๊ออยู่ในจีน ลุกมานอยู่ในกรีซ ยูซุฟอยู่ในอียิปต์ ลูฏอยู่ในซีเรีย
และปาเลสไตน์ แต่พื้นฐานคำสอนของบุคคลเหล่านี้คือดวามเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว
ผู้ใหญ่และเด็ก คนแก่และคนหนุ่ม เพศชายและเพศหญิงแทบทั้งหมด ชาว
คริสเตียนและยิวต่างเชื่อในอัลลอผู้ทรงยิ่งใหญ่ อาจมีบางคนซึ่งเป็นจำนวนน้อยปฏิเสรที่
จะกตำวนามของพระเจ้า แต่ภายในหัวใจของคนเหล่านี้ก็รู้สึกถึงการมีอยู่ของพระเจ้า พวก
เขาต้องยอมรับว่ากระบวนการของเหตุและผลยังคงดำเนินอยู่บนสิ่งถูกสร้างและถูกควบคุม
นาจบางอย่างอันชาญฉลาดเป็นเลิศ อำนาจอันซาญฉลาดและเจตนาดีนี้เ
รู้จักกันว่าอัลลอฮผู้ทรงยิ่งใหญ่
มีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่ปฏิเสธความเชื่ออันเป็นเอกฉันท์ของบุรุษแห่งปัญญาและ
การสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ
24 : ประวัติศาสตร์อิสลาม