ประวัติศาสตร์อิสลามเล่ม3
ข้อมูลสินค้า
ราคา
550.00 บาท
ร้านค้า
ประวัติศาสตร์อิสลามเล่ม3
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
คำนำของผู้แปล
การศึกษาประวัติศาสตร์ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับมนุษยชาติ เพราะการ
ศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้นุษย์ได้รู้ถึงอดีตซึ่งเป็นที่มาของปัจจุบันและทำให้มนุษย์พอที่จะ
เห็นอนาคตของตนได้บ้าง ทั้งนี้ เนื่องจากมนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่ว่าในยุคใด ธรรมชาติของ
นุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งที่นุษย์ทำไว้ในอดีตได้แสดงผลให้เห็นเช่นใดในปัจจุบันสิ
มนุษย์ได้ทำไว้ในปัจจุบันก็จะแสดงผลเช่นเดียวกันนั้นในอนาคต คนที่ศึกษาประวัดิศาสตร์
จึงได้เปรียบคนที่ไม่มีความรู้ในด้านนี้
อิสลามเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่มนุษยชาติผ่าน
บรรดานบีต่างๆ นับตั้งแต่มีมนุษย์คนแรกบนโลก นั่นคืออาดัม การประทานอิสลามดำเนิน
ต่อเนื่องกันมาทุกยุดทุกสมัยผ่านหมู่ชนต่าง ๆเป็นจำนวนมากมายจนในที่สุดก็มาเสร็จสิ้น
สมบูรณ์ในรูปของดัมภีร์กุรอานในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัดเมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว
ในคาบสมุทรอาระเบีย ดังนั้น การศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามจึงถือเป็นการศึกษา
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติโดยแท้จริง
งแม้อิสลามจะเสร็จสินสมบูรณ์ในสมัยของท่านนบีมูฮัมมัดก็ตาม แต่ปร
สลิมหลังสมัยของท่านก็มีบทบาทสำคัญต่อกระแสประวัติศาสตร์โลกต่อมาเป็นเว
ยาวนาน ซึ่งเป็นหลักฐานถึงอิทธิพลของอิสลามที่มีต่อโลก
ด้วยเหตุนี้
ครที่ต้องการจะศึกษาอิสลามเป็นการเฉพาะก็จำเป็นจะต้องศึกษ
าสตร์อิสลามด้วยโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของท่นนบีมูฮัมมัด ทั้งนี้เ
ภีร์กุรอานทีพระผู้เป็นเจ้าประทานมาเพื่อเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิตข
26 : ประวัติศาสตร์อิสลาม (เล่ม 3)
ได้ถูกประท่านมายังท่นตลอดระยะเวลา 23 ปีแห่งการเป็นรอซูลุลลอฮฺ (ตาสนทูตของ
พระเจ้า) และท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับเอกสิทธิ์ในการอธิบายและแสดงดำสอนออกมา
ให้เห็นเป็นการปฏิบัติ จากแหล่งที่มาทั้งสองนี้เองคือรากฐานดำสอนของอิสลามที่มุสลิม
ทั่วโลกยึดถือเป็นแนวทางเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แม้อิสลามจะเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมอาหรับในยุคมืคให้กลายมาเป็นผู้สร้าง
อารยธรรมขึ้นบนโลก แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของ
อารยธรรมอิสลามมิได้เป็นที่รับรู้หรือมีการสอนในสถาบันการศึกษาทั่วไปโดยเฉพาะ
ในสถาบันอุดมศึกษา ประกอบกับการไม่มีหนังสือหรือตำราภาษาไทยที่คนไทยทั่วไป
สามารถเข้าถึงได้อย่างเพียงพอ จึงทำให้คนทั่วไปหรือแม้แต่มุสลิมเองไม่รู้จักอิสลาม
ซึ่งเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมของคนมุสลิม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้เลือกเอาหนังสือเรื่อง
History of Islam ซึ่งเขียนโดย อักบัรุ ชาห์ นะญี่บอะบาดี (Akbar Shah Najeebabadi)
มาแปลเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับคนทั่วไปได้ศึกษาดันคว้าและทำความเข้าใจ
ใครที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตลอดทั้งเล่ม นอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์
ชาติมุสลิมที่เราไม่เคยได้อ่านที่ไหนมาก่อนแล้ว ยังจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความเสื่อมทราม
ทางศีลธรรมต่างหากที่เป็นสาหตุแห่งการบ่นทำลายสังคมและประเทศชาติไม่ว่าสังคม
หรือประเทศนั้นจะมีความมั่งคั่ง ข้แข็งและเจริญรุ่งเรืองเพียงใดก็ตาม
ผมแปลหนังสือเล่มนี้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ในการรับใช้หนทางแห่งอิสลามตามความรู้
ความสามารถตลอดจนสุขภาพและเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ผม แต่เนื่องจากหนังสือ
เล่มนี้มีความหนานับหลายร้อยหน้า ประกอบกับมีชื่อบุคคลและสถานที่จำนวนมากมาย
ซึ่งบางส่วนผมไม่คุ้นชื่อหรือเคยได้ยินมาก่อน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจมีความบกพร่อง
หรือผิดพลาดบ้างในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งไม่อาจหลีกพันความผิดพลาดได้ ดังนั้น
หากผลงานชิ้นนี้มีความบกพร่องหรือผิดพลาดใดๆ
ผมขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺและยินดี
รับฟังคำริจารณ์หรือคำชี้แนะที่สร้างสรรค์เพื่อการแก้ไขและปรับปรุงต่อไป
อักษรโดย อะมีนะฮุ ภรรยาสุดที่รักของผมที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังและส่งกำลังบำรุง
านชิ้นนี้ปรากฏเป็นรูปเล่มขึ้นมาได้ก็ด้วยการช่วยจัดเตรียมต้นฉบับแล
อยู่ข้างกายมิได้ห่าง และที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คือ "ศูนย์หนังสืออิสลาม" ที่เป็นผู้จัดพิมพ์
หนังสือเล่มนี้ออกมาสู่สายตาของผู้อ่าน จึงขอขอบคุณและขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺได้โปรด
ตอบแทนความดีแก่ผู้มีส่วนในการจัดทำและสนับสนุนหนังสือเล่มนี้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
(vol.3) The History of Islam : 27
หากจะพูดไปแล้ว ผลงานชิ้นนี้และชิ้นอื่นๆที่ผมได้ทำมาถือเป็นผลพวงจากมรดก
การศึกษาซึ่งเป็นมรดกชิ้นเดียวจริง ๆ ที่พ่อได้ให้ผมไว้ตั้งแต่เป็นเด็ก ด้วยการตื่นขึ้นมา
แต่เช้าตรู่ทำข้อสอบให้ผมฝึกทำเพื่อสามารถสอบเข้าโรงเรียนดี ๆได้ ประกอบกับการซึมชับ
วามมีน้ำอดน้ำทนของแม่ที่มีใจม่งมั่นต้องการจะเห็นอนาคตที่ดีของลูก ผล
การศึกษาที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ผมจึงได้ตกถึงคนอื่นๆ ด้วย
"โอ้อัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก หากหนังสือเล่มนี้มีคุณงามความดีใดๆ
จะทำให้พระองค์ทรงตอบรับคำวิงวอนของข้าพระองค์แล้ว ขอพระองค์ได้โปรด
แก่ข้าพระองค์และบิดามารดาของข้าพระองค์ และขอพระองค์ได้โปรดประทานความเมตตา
แก่ท่านทั้งสอง ดุจดังที่ท่านทั้งสองเลี้ยงดูข้าพระองค์เมื่อครั้งเยาว์วัยด้วยเทอญ - อามึน"
บรรจง บินกาชัน
สิงหาคม พ.ศ.2553