การกระจายพันธุ์
อเมริกากลาง ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก จนถึงตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาใต้ มะฮอกกานีในธรรมชาติเคยมีราว 278 ล้านเฮกตาร์ 57% พบในบราซิล และ 21% ถูกโค่นไปในปี 2000 อุณหภูมิระหว่าง 20-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ย 24 องศาเซลเซียส ไม่เกิน 35 องศาเซลเซียส ปริมาณฝน 1600-2500 มิลลิเมตรต่อปี ความสูง 0-1500 เมตรจากระดับน้ำทะเล สามารถพบได้ในป่าทุกประเภทตั้งแต่ป่าสน ทุ่งหญ้าเขตร้อนจนถึงป่าดงดิบ การค้นพบครั้งแรกของทวีปอเมริกาใต้พบริมแม่น้ำแอมะซอนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ทราบได้ว่า มะฮอกกานีสามารถโตได้ในอากาศร้อนชื้นและกึ่งร้อนชื้น มีการกระจายตัวเป็นกลุ่มเล็ก หาได้ยากที่มีความหนาแน่นมากกว่า 4-8 ต้นต่อเฮกตาร์ ในเขตร้อนชื้นของทวีปอเมริกาพบเป็นพืชกลุ่มเริ่มต้นหลังจากการฟื้นฟูจากการแผ้วถางที่ดินเพื่อการเพาะปลูก มีการปลูกร่วมกับต้นสัก [[1]] ในฟิลิปปินส์มีรายงานว่าทนทานต่อลมและพายุไซโคลน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ต้นสูง 30-40 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 3-4 เมตร ในสภาวะที่เหมาะสม สูงได้ถึง 60 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 เมตร ต้องการแสง สามารถอยู่ในที่ได้รับแสงบางเวลาได้เช่นกัน เช่น ในป่า
การขยายพันธุ์ เป็นพืชที่มีสองเพศในต้นเดียว ต้นตรง ทรงกระบอก มีรากพูพอนที่โคน เปลือกไม้ขรุขระ และหลุดล่อนเป็นชิ้นเล็ก
- ใบใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ยาว 60 เซนติเมตร ใบย่อย 6-16 ใบ รูปไข่ รูปหอก ปลายใบค่อนข้างเรียวแหลม สีเขียวอ่อนหรือออกแดงเมื่อยังอ่อน เขียวเข้มและเป็นมันเมื่อโตเต็มที่
- ดอกดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 มิลลิเมตร ช่อดอกแยกแขนงปลายแคบ ยาว 8-13 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม กลีบดอกขาวอมเหลือง รูปวงรี ยาว 4 มิลลิเมตร มีทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย ดอกเพศเมียส่วนใหญ่อยู่กลางช่อ ออกดอกกลางถึงปลายฤดูแล้ง ต้นที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-30 ก็ออกดอกได้ ขึ้นกับสภาพพื้นที่ ขยายพันธุ์ได้เต็มที่เมื่อต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 70-80 เซนติเมตร ถึง 130 เซนติเมตร
- ผลตรง ผลแตก แข็งเหมือนไม้ ยาว 10-20 เซนติเมตร ผลิตผลได้ 800 ผลต่อต้น
- เมล็ดภายในมีราว 50 เมล็ด เมล็ดปลิวไปตามลมช่วงกลางฤดูแล้ง ปกติไปได้ห่างจากต้น 32-36 เมตรแต่อาจไปได้ถึง150 เมตร เมล็ดเริ่มงอกในฤดูฝน อัตราการงอกของเมล็ดในสภาวะที่ถูกควบคุมอยู่ที่ประมาณ 80-90% การงอกในป่ามีอัตราการงอกราว10-58% ขึ้นกับปี ปริมาณฝนและประเภทของป่า
- ศัตรูพืชHypsipyla grandellaตัวอ่อนของผีเสื้อเจาะยอด กินเนื้อเยื่อเจริญปลายยอด ทำลายยอดของต้นอ่อน
Steniscadia poliophaeaตัวอ่อนของผีเสื้อทำลายใบและต้นอ่อน
บทบาทต่อระบบนิเวศ[แก้]
ในสภาพแวดล้อมปกติ มีจำนวนเรือนยอดไม่มากนักแต่มีความสำคัญทางโครงสร้างและบทบาททางชีวภาพ มะฮอกกานีมีอายุได้มากกว่า 200ปี เป็นที่อยู่ของสัตว์และแมลง มีโพรงเป็นที่อยู่อาศัยของนกเช่น นกทูแคน และนกมาคอว์ การออกดอกแต่ละมีมีเรณูและหวานสำหรับผีเสื้อ ผีเสื้อกลางคืน ผึ้ง นกมาคอว์และนกแก้ว กินผลแก่ได้หลายเดือนในฤดูฝน สัตว์ฟันแทะที่อาศัยอยู่ตามพื้นหลายชนิดรวมถึงปาคาสและคูเทียกินเมล็ดที่ตกบนพื้นในปลายฤดูแล้ง แมลงนักล่ามีหลายชนิด ผีเสื้อกลางคืนSteniscadia poliophaeaมีวงจรชีวิตอยู่กับมะฮอกกานี การเจริญที่รวดเร็วแต่มีอายุขัยยาวนานทำให้ไม้เลื้อยมาอาศัยที่ให้ดอกและผลเป็นอาหารของให้สัตว์และแมลงต่างๆ
การใช้ประโยชน์(ดั้งเดิม) และประโยชน์ทางการค้า[แก้]
เนื้อไม้มะฮอกกานีเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเพราะความแข็งแรง ทนทาน ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายและมีความสวยงาม ใช้ในการผลิตเครื่องเรือน และของประดับตกแต่ง เปลือกและเมล็ดของมะฮอกกานีใช้บรรเทาอาการท้องร่วง และแก้ปวดฟันของชาวพื้นเมือง น้ำมันที่สกัดจากเปลือกใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
การใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆ[แก้]
- เนื้อไม้[2]มีมูลค่าสูง แก่นไม้ออกแดงหรือชมพู สีเข้มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นตั้งแต่ชมพูเข้มไปจนถึงน้ำตาล กระพี้ไม้ สีออกเหลือง สามารถใช้กับเครื่องมือที่ใช้มือได้ง่าย คุณภาพและรูปร่างคงทน ขัดแล้วไม่แตกหักหรืองอ น้ำหนัก 485-840 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรที่ความชื้น 15% เสี้ยนเชื่อมหรือบางครั้งตรง เสี้ยนละเอียดหรือค่อนข้างหยาบ ผิวลื่น ใช้ในการทำแผงควบคุม กรอบประตู หน้าต่าง โค้ง เครื่องเรือน โครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรง ใช้ในเรือ ปูพื้น อัดเป็นไม้วีเนียร์มักใช้ทำกีตาร์ คุณภาพของไม้สามารถแบ่งแยกได้จากสี ลาย ของเนื้อไม้ การเจาะด้วยเครื่องและเข็มเพื่อการทดสอบ
ความหนาแน่นจากของเนื้อไม้ต้นปลูกน้อยกว่าในป่าธรรมชาติ
- ยางหรือเรซินยางผลิตมาจากการกรีดเปลือกพบในตลาดบอมเบย์ที่อินเดีย อยู่ในรูปบริสุทธิ์หรือผสมยางอื่น
- แทนนินและสีย้อมใช้ย้อมและฟอกหนัง
- ลิพิดมีมูลค่าทางการค้าจากการสกัดเมล็ด
- ยายาพื้นบ้านในแถบอเมริกากลาง
- อื่นๆเป็นพืชให้ร่มเงา ใช้ในการปลูกป่าทดแทน เปลือกผลบดใช้เป็นวัสดุปลูก เป็นไม้ประดับเช่นที่มาเลเซียตะวันตก
การค้า[แก้]
ต้นทศวรรษ 1970 ถึงปลายทศวรรษ 1990 ประเทศที่มีความสำคัญทางการค้าคือ บราซิล แต่เนื่องด้วยข้อโต้แย้งของสากล ว่าเป็นแหล่งผลิตที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลห้ามการตัด การขนส่ง หรือทำการค้าขายในปี 2001 ทำให้การค้าขายไม้มะฮอกกานีของบราซิลลดลง โบลิเวียเริ่มเข้ามาแทนที่ในปี 1990 แต่ก็ตกลงเพราะ จำนวนมีน้อยลง และการตัดต้นมะฮอกกานีถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ความต้องการเพิ่มขึ้น ราคาจึงพุ่งสูงขึ้น จนเกิดเหตุการณ์ red gold[4]จนมีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ เกิดข้อโต้แย้งในการใช้ประโยชน์ทางการค้าและการอนุรักษ์ และท้ายสุดได้ถูกบรรจุในอนุสัญญาไซเตส (CITES Appendix II) มีผลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2003
มะฮอกกานี(mahogany)ที่นำมาใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้(timber)มี 3 สปีชีส์ ได้แก่West Indian mahoganyชื่อวิทยาศาสตร์Swietenia mahagoni(Linnaeus) Jacquin, Enum. Syst.[[2]]Hondurus mahoganyชื่อวิทยาศาสตร์Swietenia macrophyllaKing และSwietenia humulis
มะฮอกกานีที่พบในประเทศไทย มี 2 สปีชีส์ คือ มะฮอกกานีใบใหญ่ และมะฮอกกานีใบเล็ก แต่ส่วนมากเป็นมะฮอกกานีใบใหญ่
กรุณาอ่านก่อนสั่ง
✅ กรณีที่สั่งเยอะมากๆ กรุณาติดต่อทางร้านก่อนนะคะ
✅ กดสั่งได้ไม่เกิน 3 ชุุด (ต่อ 1 กล่อง ต่อ 1 คำสั่งซื้อ)
✅ ถ้าเกิน 3 ชุดขึ้นไป รบกวนลูกค้ากดสั่งซื้อใหม่เนื่องจากระบบ มีเลขติดตามพัสดุแค่ 1 เลขค่ะ
✅ หากเกิดสินค้าเสียหาย ต้นหัก เคลมได้ค่ะแต่กรุณาทักแชทส่งรูปหรือวีดีโอมาแจ้งทางร้านนะคะ ❌ กรณีในการสั่ง กรุณาคิดและพิจารณาก่อนจะสั่งนะคะ ❌❌ กรณีที่ร้านส่งของให้แล้ว ห้ามยกเลิกห้ามปฎิเสธใดๆทั้งสิ้น ❌ เมื่อลูกค้าได้รับต้นไม้แล้ว รีบเอาออกจากกล่อง นำต้นไม้มาวางบนพื้นดินในร่มที่แดดอ่อนๆ และรดน้ำต้นไม้ให้ชุ่ม