DR.WU Intensive Renewal Serum With Mandelic Acid 18% 15 ML
สูตรคลาสสิค สัดส่วนของความเข้มข้น 18% โดดเด่น 2 ด้าน: ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง มีประสิทธิภาพสูง

ใช้ในตอนกลางคืน หลังทำความสะอาด ทาในปริมาณที่พอเหมาะ ใช้เฉพาะที่ หรือบริเวณ ที-โซน เลี่ยงบริเวณรอบดวงตา นวดเบาๆจนเนื้อเซรั่มซึมซาบสู่ผิว ก่อนใช้โทนเนอร์ เอสเซนท์ และครีม
แบรนด์ DR.WU ก่อตั้งในปี 2004 โดย Dr. Ying-Chin Wu ซึ่งเป็นแพทย์ผิวหนังชั้นนำของไต้หวัน ซึ่งคอนเซปต์ของผลิตภัณฑ์ก็จะเน้นเรื่องของส่วนผสม ประสิทธิผล มาตรฐาน และความปลอดภัย 

ส่วนผสมหลักของ DR.WU : Mandelik Intensive Renewal Serum (15ml / 1,100 BAHT , 30ml / 2,150 BAHT)
นั้นโดดเด่นที่ส่วนผสมของ Mandelic Acid เข้มข้นถึง 18% มาพร้อมกับค่า pH เป็นกรดอ่อนที่เหมาะสมกับการทำงานเพื่อผลัดเซลล์ผิว
สารกลุ่ม AHAs หรือ Alpha Hydroxy Acids ซึ่งมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพหรือชั้นขี้ไคลนั้นมีอยู่หลายตัว จากข้อมูลทำให้ทราบว่าตัวที่เป็นมาตรฐานและมีการศึกษามากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Glycolic Acid ซึ่งมีขนาดที่เล็กกว่าชาวบ้าน จึงสามารถแทรกลงไปได้มากกว่า กับ Lactic Acid ที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แม้จะแทรกได้น้อยกว่า แต่มีค่า  pKa ที่ต่ำกว่า จึงทำให้ Lactic Acid มีค่า pH ที่ต่ำกว่า Glycolic Acid ในความเข้มข้นที่เท่ากัน จึงทำให้ Lactic Acid พอที่จะผลัดเซลล์ผิวในความเข้มข้นที่ต่ำหน่อยก็ยังพอผลัดเซลล์ผิวได้ จึงมักเป็นอีกตัวเลือกที่ถูกนำมาใช้กันในสกินแคร์

Mandelic Acid เป็นสารกลุ่ม AHAs ที่มีเอกลักษณ์และเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในระยะหลัง แม้จะมีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่ที่สุด แต่การดูดซึมสู่ผิวที่ช้าและมีความสม่ำเสมอกว่าก็ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผิวที่บอบบางหรือระคายเคืองง่าย และในขณะที่สารกลุ่ม AHAs ตัวอื่นจะละลายในน้ำเท่านั้น
แต่ Mandelic Acid  มีโครงสร้างที่สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน และข้อมูลระบุว่ามีคุณสมบัติในการต้านจุลชีพอีกด้วย จึงดูเหมาะกับการใช้กับผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่ายในการผลัดเซลล์ผิว มีการศึกษาเพื่อใช้ในการลดสิวและการอุดตันของผิว โดยการศึกษาที่นำ 10% Mandelic Acid ไปผสมกับ 20% Sailcylic Acid (BHA) มาทำ Peel ในคลีนิคและพบว่าช่วยลดสิวรวมไปถึงรอยดำจากสิวได้น่าพอใจ
ในแง่ของผลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการผลิตน้ำมันบนผิวนั้น 
 Mandelic Acid อาจช่วยปรับสมดุลของการผลิตน้ำมัน ถ้ามากไปให้น้อยลง ถ้าน้อยเกินก็ปรับให้มาอยู่ในระดับพอดีก็อาจเป็นไปได้ แต่ต้องมีการศึกษาที่ชัดเจนกว่านี้ออกมายืนยันอีกที
แม้ว่า Mandelic Acid จะมีการศึกษาน้อยกว่าสารกลุ่ม AHAs ที่นิยมใช้มาก่อนหน้าอยู่พอสมควร แต่จากข้อมูลที่มีก็ถือว่าน่าสนใจมาก ส่วนตัวพยายามบอกมาเสมอว่า การดูดซึมได้ดี มีขนาดเล็ก อาจจะไม่ได้แปลว่าดีที่สุดเสมอไป ในบางกรณี ส่วนผสมที่มีขนาดใหญ่กว่า ดูดซึมได้น้อยกว่า ก็เหมาะกับผิวบางประเภทในบางเงื่อนไขมากกว่า อย่างเช่นกรณีของ AHAs นี้เป็นต้น





นอกจาก ส่วนผสมของ Mandelic Acid แล้ว เซรั่มขวดนี้ก็มีส่วนผสมที่ช่วยลดการระคายเคืองและต้านการอักเสบที่คุ้นชื่อกันดี ไม่ว่าจะเป็นสารจากบัวบกอย่าง Centella Asiatica Extract และสารสำคัญที่ได้จากชะเอมเทศอย่าง Ammonium Glycyrrhizate และ Potassium Glycyrhizinate และยังมีสารสกัดจากดอกดาวเรืองฝรั่ง Calendula Officinalis Flower Extract อีกด้วย ส่วนผสมของ Beta-Glucan กับ Allantoin นอกเหนือจากการต้านระคายเคืองแล้วยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้  ส่วนผสมของ Panthenol หรือ Pro Vitamin B5 กับ Sodium Hyaluronate ก็ช่วยชดเชยเรื่องความชุ่มชื้น 
Aesculus Hippocastanum Extract หรือ Horse Chestnut มีข้อมูลว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบได้ดี และสาร Aescin ที่มีในพืชชนิดนี้มักใช้ในการจัดการปัญหาที่มาจากความผิดปกติของเส้นเลือด  และ Ruscus Aculeatus Root Extract มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบได้ เรายังไม่พบการศึกษาที่เกี่ยวกับการนำมาใช้บำรุงผิวโดยตรง แต่สารสกัดตัวนี้มีสารกลุ่ม Rutin และ Hesperidin อยู่ ก็น่าจะช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย

Ingredients : Aqua, Propylene Glycol, Mandelic Acid, Butylene Glycol, Triethanolamine, Beta-Glucan, Ruscus Aculeatus Root Extract, Panthenol, Centella Asiatica Extract, Sodium Hyaluronate, Hydrolyzed Yeast Protein, Disodium EDTA, Potassium Glycyrhizinate, Calendula Officinalis Flower Extract, Allantoin, Ammonium Glycyrrhizate, Aesculus Hippocastanum Extract.

Usage & Result


ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มี Mandelic Acid 18% ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น Peel ใช้ที่บ้าน สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง เฉพาะในตอนกลางคืน โดยทาเป็นขั้นตอนแรกบนผิวหน้าที่สะอาด  แล้วค่อยตามด้วยโทนเนอร์หรือสกินแคร์ในขั้นตอนต่อไป เนื้อเซรั่มเป็นของเหลวใส มีความบางมาก และแม้ผลิตภัณฑ์จะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม แต่จะมีกลิ่นอะไรบางอย่าง ซึ่งน่าจะเป็นกลิ่นของ Mandelic Acid ที่มีโครงสร้างแบบอะโรมาติกของ benzene ring ก็เป็นได้
ส่วนตัวพบว่าวิธีการทาผลิตภัณฑ์ที่แม่นยำ และสะดวก คือการหยดในปริมาณ 1/2 ~ 1 ดรอปเปอร์ลงบนสำลีบาง ๆ และเป็นขุยยาก อย่างสำลีรีดขอบของ MUJI ก่อนที่จะลูบให้ทั่วใบหน้า ลำคอ โดยเว้นรอบดวงตา และริมฝีปาก
จากประสบกรณ์ส่วนตัว เรามีความเห็นว่า Mandelic Acid นั้นดูอ่อนโยนกับผิวกว่า Glycolic Acid ตามทข้อมูลทีอ่านมา เพราะปกติปูเป้จะใช้ Glycolic Acid 10% ขึ้นไปก็จะยิบผิวมากแล้ว แต่ทา Mandelic Acid 18% แล้วไม่ได้รู้สึกยิบ ๆ ผิวเลย  เนื้อผลิตภัณฑ์ค่อนข้างบาง ทำให้การเช็ดหรือลงผลิตภัณฑ์ตัวต่อไปไม่มีปัญหาเรื่องเพิ่มความเหนอะหนะ หลังการใช้ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ในตอนกลางคืนนั้นผิวรู้สึกเนียน และการอุดตันเล็ก ๆ บนผิวที่มีก่อนหน้าเริ่มดีขึ้น

สิ่งสำคัญในการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องผิวจากแสงแดดมากเป็นพิเศษ  และผิวของแต่ละคนก็สามารถรับกับทรีตเมนต์ตัวนี้ได้ไม่เท่ากัน 
ขอบคุณรีวิวดีๆจากคุณ PUPESOSWEET