📙The Power of Showing Up พลังแห่งการเป็นพ่อแม่ธรรมดา ที่มีอยู่จริง
the-power-of-showing-up-พลังแห่งการเป็นพ่อแม่ธรรมดา-ที่มีอยู่จริง
ข้อมูลสินค้า
ราคา
309.00 บาท
แบรนด์
Sandclock Books(แซนด์คล็อค บุ๊คส์)
ร้านค้า
✨พร้อมส่ง✨

📙The Power of Showing Up พลังแห่งการเป็นพ่อแม่ธรรมดา ที่มีอยู่จริง ราคาปก 360 บาท
ลดเหลือ 309 บาท

👨🏻‍🦳คำนิยมโดยนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
🌟ผู้เขียนนพ.แดเนียล เจ. ซีเกิล และดร.ทีน่า เพย์น ไบรสัน
แปลศิริเพ็ญ อารีนุกูล

วางตำราว่าด้วยพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบไว้สักพัก
แล้วกลับมาเชื่อในความรักและการอยู่เคียงข้าง
เพื่อสร้างลูกที่ประสบความสำเร็จ และมีความสุขบนโลกใบนี้

ในวันที่เราไม่มั่นใจว่าจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูก วางความกังวลนั้นไว้ และขอให้เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำได้เสมอ และเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดีกว่าความวิตกกังวลหรือพยายามบรรลุมาตรฐานความสมบูรณ์แบบลวงตาที่เราสร้างขึ้นเองทั้งหลาย ขอเพียงแค่ให้เรา…อยู่ตรงนั้นและแสดงตัว
การแสดงตัวจะสร้างสายสัมพันธ์ที่มั่นคง เมื่อคุณอยู่ตรงนั้นเพื่อลูก เขาจะรู้สึกปลอดภัย นำไปสู่การใช้ชีวิตบนพื้นฐานความรู้สึกของการเป็นเจ้าของโลกใบนี้ ดังนั้นแม้สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นไปตามที่ต้องการ พวกเขาก็จะรู้ว่า พวกเขาไม่เป็นไร
หนังสือที่จะเพิ่มพลังให้คุณในฐานะพ่อแม่ เพื่อส่งต่อพลังใจ ส่งเสริมความยืดหยุ่นกับความแข็งแรงให้กับลูกๆ ของคุณ

จำนวน 304 หน้า
เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกวัย 0-10 ปี

--------------

มีคำถามเสมอว่าคุณหมอเรียกร้องให้พ่อแม่อยู่บ้านมากๆ แต่ถ้าพ่อแม่อยู่บ้านมากแล้วเอาแต่ดุด่าว่าตีเช่นนี้ พ่อแม่ไปไกลๆ ไม่ดีกว่าหรือ คำตอบคือไม่ดีทั้งสองทาง
เมื่อพ่อแม่อยู่บ้านมาก ท่านจะผ่อนคลายมากพอที่จะรู้ได้ด้วยตัวเองหรือด้วยสามัญสำนึกว่าควรทำอะไร อย่างไร เมื่อไร หากท่านไม่อยู่บ้าน ท่านจะไม่รู้จักลูกของท่าน หรือถ้าท่านมีเวลาน้อยในบ้าน ท่านจะเร่งรัดทุกสิ่งอย่างแล้วตัวท่านเองที่ไม่รู้จักการรอคอย เวลาลูกเรียกร้องอะไรมากไปนิดนานไปหน่อยก็ทำเอาสติแตกได้ง่ายๆ

การอยู่บ้านมากขึ้นมิได้ถึงกับว่าไม่มีกติกา ที่จริงแล้วมีกติกาอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก และทำได้ไม่ยาก ดังที่หนังสือเล่มนี้จะเขียนถึงพร้อมทั้งให้เหตุผลทั้งจากงานวิจัยด้านจิตวิทยาและจากงานวิจัยด้านสมอง
สำหรับตัวผมเอง การอยู่บ้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องยาวนานก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าต้องการคำอธิบายก็คือ เมื่อตัวเราอยู่บ้านมากพอและนานพอ สิ่งที่เด็กได้รับคือ 4s ได้แก่ safe, seen, soothed และ secure แปลว่า ปลอดภัย ถูกมองเห็น ได้รับการปลอบประโลม และมั่นคง โดยไม่ยาก

ทั้งสี่ประการนี้เป็น ‘ความรู้สึก’ ของเด็กที่ได้รับ เขียนใหม่ว่า รู้สึกปลอดภัย รู้สึกได้รับความใส่ใจ รู้สึกถึงความห่วงใย และรู้สึกมั่นคง เมื่อเด็กรับรู้คุณพ่อคุณแม่ในลักษณะนี้แล้ว เขาไม่มีอะไรต้องพะวงหลังอีก เพราะด้านหลังได้รับการป้องกันอย่างดีแล้ว พลังงานทั้งหมดจึงพุ่งไปข้างหน้านั่นคือพัฒนาการ
มีคำถามที่พบบ่อยต่อไปว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ดีพอจะเลี้ยงลูกให้ดีได้ไหม คำตอบคือได้

หนังสือเล่มนี้ได้ให้หลักฐานและคำอธิบายว่าเพราะอะไรเราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเราไม่ดีพอจะเลี้ยงลูก เพราะในความเป็นจริงแล้วลูกมิได้ต้องการพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ เขาแค่ต้องการให้เราอยู่ตรงนั้นเพื่อให้ 4s ส่วนปัญหาเรื่องเราไม่ดีพอจะให้ 4s นั้นแก้ไขได้

หนังสือได้อธิบายต่อไปถึงรายละเอียดของ 4s ตามด้วยรูปแบบของสายสัมพันธ์ 4 รูปแบบ นั่นคือแบบมั่นคง แบบหลีกเลี่ยง แบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ และแบบไร้ระเบียบ (secure, avoidant, ambivalent, disorganized) กล่าวคือเป็นตัวพ่อแม่เองก็เติบโตมากับสายสัมพันธ์แบบใดแบบหนึ่งในสี่แบบนี้ และผลจากการที่เติบโตมาเช่นนั้นเองที่อาจจะทำให้เราเป็นพ่อแม่ที่ไม่มีความสามารถมากพอ

แต่หนังสือได้เขียนไว้ชัดเจนว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่โชคชะตา History is NOT destiny เราอาจจะแก้ไขอดีตของเรามิได้ แต่เรายอมรับและพูดมันออกมาได้ด้วยเรื่องเล่าที่สอดคล้อง เรียกว่า narrative coherent แปลอีกความหนึ่งได้ว่าด้วยเรื่องเล่าที่ตรงประเด็นและเป็นจริง กล่าวคือเราเองซึ่งเป็นพ่อแม่จำต้องยอมรับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงแล้วพูดออกมา พ่อแม่ของเราเลี้ยงเรามาอย่างไร เรารู้สึกอย่างไร เมื่อพูดออกมาแล้วเราจะไม่ทำมันโดยพลั้งเผลอง่ายนัก

ทำไม? หนังสืออธิบายด้วยกลไกด้านสมองอย่างง่าย นั่นคือการแบ่งสมองออกเป็นสองส่วน ด้แก่ ชั้นบนและชั้นล่าง ชั้นบนคือ higher cortex เป็นสมองส่วนคิดวิเคราะห์ ชั้นล่างเป็น limbic system ที่ตอบสนองด้านอารมณ์เป็นหลัก การพูดตรงประเด็นและเป็นจริงจะตัดการเชื่อมต่อของสมองสองส่วนนี้ ทำให้สมองส่วนคิดวิเคราะห์เป็นอิสระจากสมองส่วนล่าง นั่นคือตัดขาดจากอดีต เราจึงเป็นพ่อแม่คนใหม่ได้ถ้าต้องการ เรามีคำเรียกกระบวนการนี้ว่า mentalizing หนังสือเล่มนี้เลือกใช้คำว่า mindsight และเลือกคำแปลว่า จิตทัศน์ หมายถึงการมองดูจิตใจของตนเองนั่นเอง

มีตัวอย่างเข้าใจง่ายในตอนท้ายๆ หากเปรียบจิตใจเหมือนคลื่นแรงที่ถาโถมมา เราควรดำลงใต้ผิวน้ำเพื่อมองดูลูกคลื่นนั้นผ่านไป
สายสัมพันธ์แบบมั่นคงและแบบหลีกเลี่ยงเป็นรูปแบบที่พบบ่อย ที่พบน้อยกว่าแต่มีผลเสียมากกว่าคือสองแบบหลัง คือแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้และแบบไร้ระเบียบแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้มาจากคำว่า ambivalent ซึ่งหมายถึงสภาพจิตใจของพ่อแม่เองที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวได้เดี๋ยวไม่ได้ เดี๋ยวให้เดี๋ยวไม่ให้ เดี๋ยวใช่เดี๋ยวไม่ใช่ พฤติกรรมของพ่อแม่เช่นนี้เองที่ทำให้การเสริมแรงและปรับพฤติกรรมเด็กเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น เรียกว่า intermittent reinforcement เด็กๆ จะไม่รู้ว่าตนเองควรทำอะไร อย่างไร และเมื่อไรไปด้วย

ส่วนแบบไร้ระเบียบมาจากคำว่า disorganized ซึ่งหมายถึงรูปแบบจิตใจของพ่อแม่เองที่ทำนายมิได้อย่างสิ้นเชิง นำไปสู่ความแตกแยกทางจิตใจของเด็กอย่างรุนแรง เรียกว่า dissociation จะว่าไปพ่อแม่สองลักษณะหลังนี้อาจจะต้องการการบำบัด อย่างไรก็ตามหากคนรอบข้างสามารถทำให้พวกเขายอมรับอดีตที่ผ่านมาได้ บางทีน่าจะช่วยได้บ้าง
คำที่เกี่ยวข้อง
พลังแห่งการเป็นพ่อแม่ธรรมดาที่มีอยู่จริงพลังแห่งการเป็นพ่อแม่หนังสือแม่ที่มีอยู่จริงพลังแห่งการเยียวยาพลังแห่งการให้พลังแห่งการคิดบวกพลังแห่งการรักตัวเองพลังแห่งการตั้งคำถามพลังแห่งการนับถือตัวเองหนังสือพลังแห่งการรักตัวเอง

สินค้าใกล้เคียง