ลูกสะเดาบด (1 kg)
สารสกัดจากสะเดา หรือ สารสะเดา ประกอบไปด้วย สารอะซาไดแรคติน (Azadirachtin) ซึ่งสารนี้จะอยู่ในเมล็ดสะเดามากที่สุด ออกฤทธิ์ในการป้องกันแมลงศัตรูพืชได้มากกว่า 200 ชนิด โดยเฉพาะแมลงประเภทกินใบและแมลงปากดูด อาทิ หนอนกระทู้ หนอนใยผัก หนอนชอนใบ หนอนม้วนใบ เพลี้ยอ่อน หนอนเจาะผลมะเขือ หนอนเจาะยอดคะน้า แมลงวันทอง เพลี้ยจักจั่น และเพลี้ยไฟ เป็นต้น

คุณสมบัติเมล็ดสะเดา
- เป็นสะเดาบด ที่ผลิตจาก ผลสะเดา 100% (ไม่มีส่วนอื่นปน) ที่มีคุณภาพดี สามารถเก็บไว้ได้นาน ไม่ขึ้นรา สามารถใช้ได้ทั้งในรูปผงแห้ง และน้ำ เมื่อนำมาแช่น้ำ จะได้สารสกัดสะเดาที่มีคุณภาพดี มีฤทธิ์หลายอย่าง ได้แก่
- เป็นสารไล่แมลง ทำให้หนอน และตัวเต็มวัยของศัตรูพืชไม่อยากเข้ามาบริเวณที่ใช้สารสะเดา
- ยับยั้งการกินของแมลง ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่ หนอน และดักแด้
- ทำให้หนอนหรือตัวอ่อนของแมลง ลอกคราบไม่ได้แล้วตายในที่สุด
- ยับยั้งการผลิตและการวางไข่ของแม่ผีเสื้อ ไข่ที่ถูกวางไม่ค่อยฟัก ตัวอ่อนหรือหนอนจะเกิดใหม่น้อยลง
- ไม่ทำลายแมลงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์ เช่น แมลงห้ำ แมลงเบียน แมลงผสมเกษร
- ไม่มีสารพิษตกค้างในพืชผัก ผลไม้ และผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิต สัตว์เลี้ยง และสิ่งแวดล้อม

ส่วนผสมและการสกัด :
1. เมล็ดสะเดาบดละเอียด จำนวน 1 กิโลกรัม
2. เอธิลแอลกอฮอล์ หรือแอลกอฮอล์ล้างแผล, เหล้าขาว หรือ เมทธิลแอลกอฮอล์ (สำหรับต้นไม้ที่ไม่ได้เอาผลผลิต) ใส่พอท่วม
3. ปิดฝาให้แน่นเพื่อป้องการการละเหยของแอลกอฮอล์
4.เปิดคนหรือเขย่าวันละครั้ง จนครบ 3-5 วัน
5. นำสารสกัดสะเดา ซึ่งจะได้น้ำมันหรือ สารอะซาไดแรคตินเข้มข้น น้ำไปผสมน้ำ 5 ลิตร ปิดฝาให้สนิท สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานประมาณ 1-3 เดือน แต่เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน

วิธีการใช้และข้อแนะนำการใช้
1. นำน้ำสกัดเมล็ดสะเดา 150-200 ซีซี ผสมน้ำ 20-25 ลิตร
2. ผสมสารจับใบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคนสักครู่ ก่อนนำไปฉีดพ่น
3. ควรฉีดพ่นเวลาเย็น ลีกเลี่ยงแสงแดดจัด เพื่อให้สารสกัดเมล็ดสะเดายังคงประสิทธิภาพได้นานขึ้น
4. สารสกัดเมล็ดสะเดา เนสารชีวภาพ สลายตัวได้เร็ว ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ฉีดพ่นและผู้บริโภครวมถึงผึ้ง, แมลงผสมเกสร และแมลงตัวห้ำที่เป็นประโยชน์ ปลอดภัยต่อปลาและสัตว์เลี้ยง ปลอดภัยต่อไส้เดือน ซึ่งควรฉีดพ่น ทุก 5-7 วัน หรือ ฉีดพ่นสม่ำเสมอกว่านี้ขึ้นกับความเหมาะสมและเวลาที่เอื้ออำนวย
5. ถ้าพ่นในโรงเพาะเห็ด หรือผู้ที่นิยมปลูกแคคตัส หรือต้นกระบองเพชรสวยงาม ในโรงเรือน ตัวสารสามารถคงสภาพอยู่ได้นานขึ้นเพราะไม่ต้องโดนแดดหรือรังสีอุลต้าไวโอเล็ต และสามารถฉีดพ่นกลางวันได้
6. กากที่เหลือจากการสกัดสามารถเอาไปใส่ต้นไม้ได้หรือผสมดินปลูกต่อไป