วิธีปลูก บวบ
บวบเป็นพืชชนิดเถามีประโยชน์ทั้งในผลที่อ่อนและผลที่แก่ โดยผลที่อ่อนนำมาประกอบอาหาร และเป็นยารักษาโรคได้ เพราะมีคุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยาอย่างมาก ผลแก่แล้วนั้นสามารถนำมาประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้ต่างๆได้อย่างหลากหลาย ซึ่งบวบนั้นสามารถปลูกได้ง่ายในเขตร้อน ทำให้ในประเทศไทยนิยมปลูกกันอย่างมาก ไม่ว่าจะปลูกเพื่อการบริโภคหรือปลูกเพื่อจำหน่าย ซึ่งทางเราได้เรียบเรียง วิธีปลูก บวบ แบบสั้นๆเข้าใจง่ายไว้ในบทความนี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับคนที่สนใจปลูก
แหล่งปลูกที่เหมาะสม
- อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการปลูกคือ 20-30 องศาเซลเซียส
- ควรได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน
- ดินที่ใช้ในการปลูกควรมีความชื้นคงที่
การเตรียมดิน
- ไถหน้าดินลึกประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตากแดดไว้ 7-10 วัน หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอยลงไปในดิน
- ทำการยกร่องสูง 75 เซนติเมตร กว้าง 1.5 เมตร ขุดหลุมลึก 2-4 เซนติเมตร ห่างกัน 75-100 เซนติเมตร(บวปเหลี่ยม และบวบดำ)
- ทำการยกร่องสูง 75 เซนติเมตร กว้าง 2.5 เมตร ขุดหลุมลึก 2-4 เซนติเมตร ห่างกัน 2.5 เมตร(บวปงู)
การเพาะกล้า
บวบไม่นิยมเพาะกล้าเนื่องจากต้นกล้ามีความเปราะ หักง่าย
การปลูกบวบ
- หยอดเมล็ดลงในหลุมที่เตรียมไว้จำนวน 3-5เมล็ด
- กลบด้วยดินผสมปุ๋ยคอก รดน้ำให้ชุ่ม
- คลุมปากหลุมด้วยหญ้าแห้งหรือฟาง
การดูแลรักษา
การรดน้ำ
ต้องรดน้ำสม่ำเสมอ อย่าให้มีการขาดน้ำเด็ดขาด
การใส่ปุ๋ย
- ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูงใน ช่วง 15 วันแรก เช่น 25-7-7
- ใส่ปุ๋ยสูตร 5-10-5 เมื่อบวบมีอายุได้ 20-30วัน โดยใส่บริเวณข้างแถว แล้วค่อยพรวนกลบลงในดิน จากนั้นรดน้ำตาม
การทำค้าง
- บวบงู
-สานไม้ไผ่แบบขัดแตะ ยกให้สูงจากพื้นจากพื้นประมาณ 2 เมตร -ปักหลักตรงหลุม ผูกปลายค้างกับร้านไม่ไผ่ที่สานไว้ให้แน่น ไม่โยก
- บวบเหลี่ยม/บวบหอม
– ใช้ไม้ปักค้าง ยาวประมาณ 2-2.5 เมตร ปักลงบนร่อง – รวบไม้เข้าหากันด้วยเชือก – จากนั้นนำไม้พาดแต่ละช่วงประมาณ 40-50 เซนติเมตร
การเก็บเกี่ยว
อายุการเก็บเกี่ยวของบวบอยู่ที่ประมาณ 40-60 วัน ไม่ควรปล่อยให้บวบแก่และแข็ง โดยให้เกี่ยวให้มีขั้วบวบติดมากับผลด้วย
โรคในบวบ
โรคราน้ำค้าง
สาเหตุ เชื่อรา Pseudoperonospora cubensis
ลักษณะอาการ เส้นใบมีอาการช้ำน้ำ มีแผลสีน้ำตาลลักษณะเป็นเหลี่ยม ใต้ใบพบสปอร์สีดำและเส้นใยสีขาวบริเวณแผล เมื่อเป็นหนัก เถาจะแห้งและตาย
การป้องกันกำจัด
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Phenylamide เช่น เมทาแลกซิล เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม cinnamic acid เช่น ไดเมโทมอร์ฟ(ฟอรัม) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Thiazolecarboxamide เช่น อีทาบอกแซม(โบคุ่ม) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Cyanoacetamide oxime + Alkylenebis เช่น ไซม็อกซานิล+แมนโคเซบ(เคอร์เซท) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม triazole เช่น เตตระโคนาโซล(ดูมาร์ค) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Benzimidazole เช่น คาร์เบนดาซิม(อาเค่น) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Inorganic เช่น ซัลเฟอร์(ไมโครไธออล กำมะถันเนื้อทอง) เป็นต้น
โรคราแป้ง
สาเหตุ เชื่อรา Oidium mangiferae Berth
ลักษณะอาการ แผลมีสีขาวและมีผงสีขาวที่เป็นสปอร์อยู่บนแผล ทำให้ใบแห้ง กรอบ การป้องกันกำจัด
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม triazole เช่น เตตระโคนาโซล(ดูมาร์ค) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Benzimidazole เช่น คาร์เบนดาซิม(อาเค่น) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Inorganic เช่น ซัลเฟอร์(ไมโครไธออล กำมะถันเนื้อทอง) เป็นต้น
แมลงศัตรูพืช
เพลี้ยไฟ
ลักษณะการทำลาย เพลี้ยไฟจะดูดน้ำเลี้ยงจากต้น โดยจะทำให้ใบหรือยอดหงิก ม้วน ดอกพริกร่วงไม่ติด หรือรูปทรงผลบิดงอ
แนวทางการป้องกันกำจัด
- อย่าให้พืชขาดน้ำ เพราะจะทำให้พืชอ่อนแอ
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม carbamate เช่น คาร์โบซัลแฟน(พอส) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม spinosyn เช่น สไปนีโทแรม(เอ็กซอล) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Pyrethroid เช่น ไซเพอร์เมทริน(ฮุค) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม phenylpyrazole เช่น ฟิโพรนิล(ไฟซ์ไนซ์) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Organophosphate เช่น โพรฟีโนฟอส(เปเป้) หรือ คลอร์ไพริฟอส(อูดิ) เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีสาร คลอไพริฟอส+ไซเพอร์เมทริน(คลอร์ไซริน)
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Avermectin เช่น อะบาเม็กติน(ต็อดติ), อิมาเม็กตินเบนโซเอต(เดอะฮัก) เป็นต้น
- ใช้สารเคมีในกลุ่ม Neonicotinoid เช่น ไดโนทีฟูแรน(สตาร์เกิล จี), ไทอะมีทอกแซม(เซนน่า) หรือ อิมิดาโคลพริด(ไบรด้า) เป็นต้น โดยทั้งหมดสามารถใส่ร่วมกับ สารจับใบ ได้