ไข่มุกเกิดในเนื้อของหอยมุกซึ่งเป็นหอยสองฝามีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ไข่มุกที่เกิดตามธรรมชาติเกิดเนื่องมาจาก ในสภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติมีเม็ดทรายขนาดเล็กหรือเศษสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กถูกพัดพาเข้าไปภายในตัวหอยมุกแล้วทำให้ตัวหอยมุกเกิดความระคายเคืองจนหลั่งสารที่เป็นชั้นมุกที่เรียกว่า Nacre ออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น ยิ่งชั้นมุกมีความหนามากไข่มุกก็จะมีความวาวมาก ไข่มุกแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือไข่มุกธรรมชาติ (Natural Pearl) และไข่มุกเลี้ยง (Cultured Pearl) ในกรณีของไข่มุกเลี้ยงน้ำเค็ม สิ่งที่ทำให้เกิดความระคายเคืองในหอยมุกได้แก่ ลูกปัดกลม ๆ (Bead) ที่ทำจากเปลือกหอย (Shell) ส่วนไข่มุกเลี้ยงน้ำจืด จะใช้เนื้อเยื่อจากหอยมุกเอง (Mantle tissue) ใส่เข้าไปแทนลูกปัดเพราะหอยมุกน้ำจืดตัวเล็กกว่าหอยมุกน้ำเค็ม จึงทำให้ไข่มุกเลี้ยงน้ำจืดมีรูปร่างไม่กลมเท่าที่ควรจะไปถึงบิดเบี้ยวเล็กน้อย (Baroque)
โดยปกติมุกจะมีสีขาวเหลือบสีรุ้งเล็กน้อยจนถึงขาวนวล แต่ก็มีสีอื่น ๆ อีกเช่น ชมพู เงิน ครีม ทอง เหลือง เทา และดำ เป็นต้น โดยจะขึ้นอยู่กับชนิดของหอยมุก น้ำ และสภาวะแวดล้อมในบริเวณที่หอยมุกอยู่อาศัย
สมบัติของไข่มุกทางอัญมณี ไข่มุกมีความแข็งประมาณ 2.5 - 3.5 เนื้ออ่อนกว่าแก้วแต่บดให้แตกเป็นผงค่อนข้างยากเนื่องจากมุกมีการจับตัวที่แน่นมาก องค์ประกองทางเคมีส่วนใหญ่เป็น Calcium Cabonate (CaCO3) 80 % ซึ่งปกติจะเป็นแร่ Aragonite, Conchiolin 10 - 14 % และน้ำ 2 - 4 % ไข่มุกมีค่าดัชนีหักเหประมาณ 1.53 - 1.69 ความวาวเป็นความวาวในตัวเองเรียกว่า วาวแบบมุก (Pearly luster) หรือ Orient ไข่มุกเป็นอัญมณีอินทรีย์ การดูแลรักษาจึงควรพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนกรด น้ำหอม สบู่ ครีมทาผิว หรือสเปรย์ใส่ผม เพราะอาจทำให้สีของมุกเปลี่ยนไป